บทความ"ไก่ผู้กอบกู้" ในนิตยสาร "Orden" ฉบับที่ 25 โดยศิลปินชาวรัสเซีย
“ไก่ ผู้กอบกู้” บทความในนิตยสาร “Orden”ฉบับที่ 25 ของปี 2015 ศูนย์วัฒนธรรมและการศึกษาของ Orden ให้การสนับสนุนความคิดริเริ่มของศิลปินรัสเซียภายใต้กรอบ โครงการส่งเสริมวัฒนธรรมรัสเซียในต่างประเทศ คณะผู้เดินทางของ Orden ได้เยี่ยมเยียนประเทศอินเดีย,อินโดนีเซีย,มาเลเซีย,กรีซ,ฟิลิปปินส์,บรูไน มาแล้ว และจิตรกรยังได้เดินทางไปยังประเทศอียิปต์ด้วย ลำดับถัดมา คือการเดินทางมา ประเทศไทย มีความสำคัญสำหรับปีแห่งการครบรอบของการสถาปนาความสัมพันธ์ ระหว่างรัสเซีย กับประเทศไทย กล่าวโดยหัวหน้าของภารกิจถาวรแห่ง Orden นายวลาดิมีร์ อานิซิมอฟ ประธานศูนย์ Creative Expeditions
ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนของทางกระทรวงต่างประเทศของสหพันธรัฐรัสเซีย, ผู้อำนวยการกรมเอเชียที่สาม กระทรวงต่างประเทศของสหพันธรัฐรัสเซีย นางลุดมิลา วาราบโยว่า, กระทรวงวัฒนธรรมของสหพันธรัฐรัสเซีย, สถาบันศิลปะแห่งรัสเซีย,
เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหพันธรัฐรัสเซียในราชอาณาจักรไทย นายคิริลล์ บาร์สกี้, กงสุลกิตติมศักดิ์ของสหพันธรัฐรัสเซียบนเกาะภูเก็ต นายสุภกิต เจียรวนนท์, ผู้อำนวยการศูนย์อาเซียน มหาวิทยาลัยเอมกิโม (MGIMO University) นายวิคเตอร์ ซุมสกี้, นักธุรกิจและผู้ใจบุญ นาย วิกรม กรมดิษฐ์
สามเดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่การเดินทางครั้งแรกของเราในประเทศไทย เมื่อศิลปินรัสเซียได้มีโอกาสที่จะเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆของประเทศไทยและเกือบทุกภาพวาดของเหล่าจิตกรได้ภาพสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจที่สุดของประเทศไทยไว้ได้ ครั้งนี้เราตัดสินใจที่จะทำงานหนักขึ้นและยาวนานขึ้นในสถานที่หนึ่ง ซึ่งแรงบันดาลใจไม่สามารถรอได้ และเราได้เลือกเมืองหลวงเก่าของประเทศไทย คือจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะที่สร้างขึ้นโดยแม่น้ำสามสาย ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี
เหล่าศิลปินได้เข้าพักอยู่ที่วัดพระนอน ซึ่งถูกสร้างขึ้นที่ริมสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา เยเลนา นีนาสตินา หลบจากแสงแดดด้วยสมุดเขียนภาพอยู่ภายใต้ร่มเงาของซากปรักหักพังของวัด ส่วนวิตาลี ปาโปฟ เลือกสถานที่ริมทาง ซึ่งมีช้างขนาดใหญ่ก้าวเดินมาอย่างสง่าผ่าเผยพร้อมกับควาญช้างในชุดสีแดงเลือดหมู ทางด้านรุสตัม และโอลก้า ยาอูเชวึย ได้วาดภาพเหมือนของพระสงฆ์ที่เป็นแบบให้พวกเขาด้วยความเต็มใจ ผมได้พบกับแรงจูงใจอันงดงามริมฝั่งแม่น้ำ ซึ่งคือเรือโยงพร้อมสายสำหรับลากเรือสีดำขนาดใหญ่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยทรายจากแม่น้ำ
ไม่นานนัก อีรินา มาโคเวเยวา ก็เข้ามาหาผม และเรียกให้ไปชมวัดตั้งอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำซึ่งสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
เราเดินไปอีกประมาณร้อยเมตร ก็ได้พบกับภาพที่น่าประหลาดใจ ประติมากรรมรูปไก่เรียงรายไปตามกำแพง มีตั้งแต่ขนาดสามเมตรจนถึงขนาดเล็กเท่าปลอกนิ้ว ซึ่งมีอยู่มากมาย อาจมีถึงห้าแสนชิ้น หรือมากกว่านั้น เมื่อสังเกตเห็นความประหลาดใจของเรา เจ้าอาวาสวัดก็กล่าวว่า "เราไม่เพียงสักการะบูชาพระพุทธเจ้าและพระมหากษัตริย์เท่านั้น แต่ยังให้ความเคารพไก่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพและความสำเร็จดังที่ปรารถนา" แน่นอนว่ามีหลายกรณีที่สัตว์ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้คน เมืองและรัฐ เช่น ห่านซึ่งเป็นอนุสาวรีย์ในกรุงโรม และไก่จาก "นิทานไก่ทองคำ" โดยอเล็กซานเดอร์ พุชกิ้น และไก่ที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจชาวฝรั่งเศส อีกทั้งแกะแห่งความยุติธรรม ที่เป็นภาพจารึกในรัฐหิมาจัลประเทศ ในประเทศอินเดีย ซึ่งมีคฤหาสถ์ของนิโคไล รีริคตั้งอยู่ที่นั่น จะเห็นได้ว่าศิลปินของพวกเราที่เคยทำงานอยู่ในสถานที่นี้ได้เป็นพยานถึงสิ่งเหล่านี้ แต่ผู้คลั่งไคล้ในการเคารพบูชาไก่เช่นนี้ ผมไม่เคยเห็น!
ด้วยเหตุนี้ เจ้าอาวาสจึงได้เริ่มเล่าเรื่อง “ย้อนกลับไปในสมัยยุคกลาง... ในปี 1555 ประเทศไทยถูกเรียกว่าสยาม เป็นประเทศที่ปกครองโดยสมเด็จพระมหาธรรมราชา ในปีนั้นมีเด็กผู้ชาย เกิดที่พระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลกและชื่อของเขาคือนเรศวร เขาได้รับการเลี้ยงดูด้วยความสุข ความรัก และความเมตตาปราณีจนถึงอายุ 9 ปี แต่เหตุการณ์ความยุ่งยากทางการเมืองระหว่างสยามและพม่า ทำให้สมเด็จพระมหาธรรมราชาต้องยอมให้พระนเรศวรเป็นองค์ประกันแก่กษัตริย์ชาวพม่า สมเด็จพระมหาธรรมราชาถูกบังคับให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของพม่า พระนเรศวรจากบ้านเกิดเมืองนอนไปอยู่ที่เมืองหงสาวดี (หรือเมืองพะโค) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของพม่า ในช่วงแรก พระองค์ได้ทำความรู้จักกับเจ้าชายของพม่า พระนเรศวรทรงเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ไม่เพียงแต่ทรงศึกษาทางด้านพิชัยสงคราม แต่ยังเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ โหราศาสตร์ วรรณคดี โดยเฉพาะบทกลอน ทักษะการก่อสร้าง ฯลฯ ในเวลานั้น แม้จะมีสงครามภายใน แต่พม่ายังเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรือง มีการพัฒนาด้านการค้า มีการนำเข้าถ้วยเซรามิกและผ้าไหมจากจีน ผ้าฝ้าย ปรอท แร่ซินนาบาร์ และเครื่องเทศจากอินเดีย การบูรจากเกาะบอร์เนียว ฝิ่นจากเมืองเมกกะห์ แม้แต่พ่อค้าชาวรัสเซีย นายอาฟานาซี นิคิติน ก็ประสบความสำเร็จการขายสินค้านำเข้าจากรัสเซีย
พม่าได้เป็นต้นกำเนิดแนวความคิดใหม่ในพุทธศาสนา คือ ในความเป็นจริงพม่าเป็นประตูจากอินเดีย
พระนเรศวรได้เจริญเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดีทั้งวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ แต่ไม่นาน เจ้าชายพม่าเริ่มอิจฉาพระสหายชาวไทยที่มีความเชี่ยวชาญและแข็งแกร่งกว่า วันหนึ่ง เขาได้เชิญพระนเรศวรเข้าร่วมในการแข่งขันชนไก่ ซึ่งเป็นที่สังเกตว่าในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น การชนไก่เป็นที่นิยม เพื่อความบันเทิงของทั้งพระมหากษัตริย์และคนทั่วไป แน่นอนว่าพระนเรศวรยอมรับข้อเสนอ และได้เตรียมความพร้อมสำหรับไก่ของพระองค์ ซึ่งเป็นไก่ชนที่ครั้งหนึ่งพระองค์ได้รับเป็นของขวัญจากพ่อ เพื่อใช้ในการแข่งขัน พระองค์มีไก่ชนหลายตัว ซึ่งมีอายุตั้งแต่ อายุ 1จนถึง 2 ปี ไก่มีความสวยงามมาก เต็มไปด้วยขนสีสันสดใส ขายาว หนึ่งในไก่ชนเหล่านั้นดูหยิ่งยโสและมีนิสัยนักเลง เนื่องจากมีหงอนกุด (3 เดือนหลังจากที่มันเกิด จำเป็นต้องถูกตัดหงอนออก ไม่เช่นนั้นในระหว่างการต่อสู้ หงอนที่ฉีกขาด จะทำให้เสียเลือดมากและเสียชีวิต) และไก่ตัวนี้คือไก่ที่พระนเรศวรได้เตรียมให้มีความพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งนี้
สมเด็จพระนเรศวรได้นำสิ่งของประหลาดชิ้นหนึ่ง ออกมาจากหีบไม้สักที่เต็มไปด้วยการแกะสลัก ไม่ใช่เครื่องราง ไม่ใช่เครื่องตกแต่ง มันทำจากงาช้างส่วนหนึ่งส่วนอื่นๆทำจากโลหะขัดเงา นี่คือเดือยไก่ซึ่งทำจากงาช้างที่มีความยาวไม่เกิน 4 เซนติเมตร ส่วนโลหะมีความยาวประมาณ 6-7 เซนติเมตร ซึ่งเป็นสิ่งที่พระนเรศวรทรงเลือก พระองค์ทรงรู้ดีถึงกฎของการชนไก่ ซึ่งเป็นที่เคารพและเคร่งครัดมาก คำตัดสิน คือ กฎ สำหรับทุกคนรวมถึงพระมหากษัตริย์ว่า อะไรก็ตามที่เป็นการพนัน ผู้แพ้จำเป็นต้องจ่ายคืน เนื่องจากถือเป็นเรื่องของเกียรติยศ พระนเรศวรพิจารณาไก่อีกครั้ง ถึงแม้ว่าเดือยไก่ที่ทำจากงาช้างดูจะไม่เข้ากัน แต่มันสวยงามมาก และโลหะด้วย จริงๆแล้วการต่อสู้ไม่ได้เพื่อชีวิต แต่เพื่อความตาย และไก่เองที่ดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งนี้ ก็พยักหน้าว่ามันก็คงชอบเดือยเหล็กเช่นกันและขันเบาๆ
การแข่งขันจะเริ่มในเช้าวันรุ่งขึ้น ด้วยความวิตกกังวลและตื่นเต้น ทำให้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเข้านอน แล้วฝันเห็นพระราชบิดา พระราชมารดาและพระเชษฐภคินีของพระองค์ ทั้งสามนั่งอยู่ด้วยกันและรับประทานข้าวหอมที่เพิ่มรสชาติด้วยหญ้าฝรั่น พระองค์จึงค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้ๆอย่างนุ่มนวล ราวกับว่าเป็นนักแสดงที่กำลังแสดงระบำเลกอง
เช้าวันรุ่งขึ้นเริ่มต้นด้วยเสียงไก่ขัน ที่ส่งเสียงร้องต้อนรับดวงอาทิตย์ และเมื่อถึงเวลาของบรรดาไก่นักสู้ พระนเรศวรมาถึงสถานที่ใช้ในการต่อสู้ ฝูงชนจำนวนมากรวมตัวกันบริเวณใกล้เวทีแสดงเป็นพื้นที่ขนาดเล็กที่มีขอบเขตจำกัด พระมหากษัตริย์ ชนชั้นสูง และผู้ชมจำนวนมาก จับตามองเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีนิลด้วยความใคร่รู้ และมากไปกว่านั้นยังจับตามองไก่ ที่ยืนอยู่เงียบๆในสุ่ม บางครั้งก็กระพือปีกราวกับกำลังเตรียมพร้อมด้วยปีกคู่สั้นๆของมัน เดือยไก่ถูกวางระเกะระกะอยู่ตามพื้น เสมือนต้องการบอกลางบางอย่าง ผู้ติดสิน คือ ผู้อาวุโสที่กษัตริย์ทรงเลือกด้วยพระองค์เอง ได้กล่าวเริ่ม “เริ่มการวางพนัน”
โอรสแห่งหงสาทรงร้องตะโกนออกมาว่า“ถ้าไก่ของเราชนะ เราจะเพิ่มส่วยและบรรณาการกับพระบิดาของท่าน รวมทั้งของที่กองทัพของเราจะยึดครอง และจะทำลายอยุธยาทิ้งเสีย ถึงคราวท่านพนันแล้ว ต้องเป็นสิ่งสำคัญด้วยล่ะ” พระนเรศวรจึงตรัสอย่างมีศักดิ์ศรี “เราขอพนันด้วยอิสรภาพของประชาชนชาวอยุธยา และเป็นเวลาสามสิบปีท่านจะไม่เข้ามายึดครองและเก็บส่วยจากอยุธยา” ในบรรดาฝูงชน มีเสียงกระซิบกระซาบเกิดขึ้น “กล้าดีอย่างไร! เป็นเพียงแค่เชลย” มีเพียงแค่กลุ่มผู้เดินทางจากต่างเมืองเท่านั้นที่ยิ้มชื่นชมเด็กหนุ่ม ผู้ตัดสินได้ประกาศยอมรับสิ่งพนันของทั้งสองฝ่าย
ฝ่ายตรงข้ามได้เริ่มเตรียมความพร้อมสำหรับไก่ที่จะต่อสู้ เดือยถูกผูกติดด้วยเกลียวสีแดง เพื่อยั่วยุอารมณ์ของไก่นักสู้ของอีกฝ่ายและเพื่อสร้างความเจ็บปวดจากการดึงขน อีกทั้งยังสะบัดและพองขนที่บริเวณคอเพื่อขู่ให้ไก่ตัวอื่นเกรงกลัว
สำหรับพระนเรศวรนั้นได้วางพริกชิ้นเล็กๆไว้ในจะงอยของไก่ชนของพระองค์ ดังเช่นพระบิดาของพระองค์ทรงเคยกระทำ จากนั้นไก่ได้กระโจนออกมาจากกรงอย่างรวดเร็วไม่มีคุ้ยเขี่ยหรือเดินวนรอบไปทั่ว เสียงขันดังเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมด้วยความตื่นเต้น นัยน์ตาของไก่เบิกกว้าง และพุ่งเข้าหาไม่ว่าเจ้านายหรือศัตรูของมันด้วยความว่องไว น้ำตาไหลไม่หยุดจนเปียกขนที่คอ กล่าวได้ว่า การเตรียมพร้อมสำหรับชนไก่ของอีกฝ่ายนั้นดูพิถีพิถันไม่น้อยไปกว่ากัน
หลังจากนั้นไม่นาน ไก่ชนก็ได้ถูกปล่อยออกจากมือ มันกระโดดขึ้นจากพื้นดิน ชนกันในอากาศ พยายามใช้จะงอยปากจิกตาของคู่ต่อสู้ และความโกรธของมันเพิ่มขึ้นถึงระดับสูงสุด ราวกับไก่กลายเป็นไฟที่มีสีแดงเข้ม ยากที่จะเข้าใจว่าเป็นการใช้การต่อสู้โดยหาง เดือย หรือเท้า จากการกระพือปีกอย่างรุนแรงเกิดเป็นฝุ่นในวงแหวน กลุ่มคนแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ยังคงล้อมรอบพื้นที่สนามแข่งอย่างหนาแน่น อารมณ์ของผู้คน ความสนใจ และความกังวลทำให้บรรยากาศการต่อสู้เร่าร้อนขึ้น ทันใดนั้นทุกอย่างกลับเงียบสงบและหยุดลง ในวงแหวนมีไก่ตัวหนึ่งนอนกระตุก มีผู้ชนะยืนอยูบนตัวและมองฝ่ายอีกฝ่ายด้วยตาข้างขวา พร้อมทั้งได้ทำเสียงเดือดในลำคอ ด้านซ้ายของมันถูกทำร้าย มีเลือดอุ่นๆไหลออกมาจากดวงตา แต่การต่อสู้นั้นเกิดขึ้นโดยใช้เท้า มันเดินผ่านไก่ผู้บาดเจ็บ ก้าวไปตามบริเวณแอ่งเลือดของคู่ต่อสู้ เสียงโห่ร้องของกลุ่มชนทำให้พระนเรศวรเกิดอาการมึนงง เขาแทบไม่อยากจะเชื่อในสายตาตัวเอง นักสู้ของเขาชนะ สัตว์เลี้ยง อันเป็นที่รักของพระองค์ซึ่งได้รับบาดเจ็บ กำลังเดินรอบๆเวทีต่อสู้อย่างภาคภูมิใจ เลือดจากเท้าเปื้อนพื้น ชัยชนะ! หัวใจของเด็กหนุ่มคนหนึ่งไม่ว่าจะเกิดจากความกลัวหรือความภาคภูมิใจแห่งชัยชนะ กำลังเต้นแรงราวกับทรงได้ยินเสียงนั้น แต่หูของจ้าชายหงสากลับทรงได้ยินเสียงของความอับอาย ความเจ็บปวดที่สุดราวกับเดือยไก่ได้เฉือนลงไปที่ใจ (ไก่ของเชลยชนะ!) ผู้ตัดสินพูดว่าอย่างไร? กษัตริย์บุเรงนองซึ่งมีสมญาว่าผู้ชนะสิบทิศ จะรักษาคำพูดหรือไม่ “ ผมยืนอยู่ราวกับต้องมนตร์ ราวกับว่าเห็นทุกอย่างในความเป็นจริง สิ่งที่งดงามคือเรื่องที่เล่าโดยของพระภิกษุสงฆ์ ที่สวมใส่ผ้าสีเหลืองนี้
แล้วต่อจากนั้นเป็นอย่างไร ?
พม่าได้รักษาคำพูดของตน โดยพระนเรศวรได้รับการปล่อยตัวกลับอยุธยา และเป็นเวลาหลายปีที่ไม่เกิดการรุกราน และการเก็บส่วยและบรรณาการ กระทั่งในเดือนกรกฎาคม ปี ค. ศ.1590 พระมหาธรรมราชาเสด็จสวรรคต สมเด็จพระนเรศวรมีพระชนมายุ 35 พรรษา พระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติ ชะตากำหนดให้พระองค์เป็นผู้กอบกู้อิสรภาพแก่สยามจากการปกครองของพม่าผู้จงรักภักดีของพระองค์นำไก่เป็นของที่ระลึกแก่กษัตริย์ของตน และประเพณีนี้ยังสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ จะเห็นได้จาก ในตอนที่พระภิกษุสงฆ์เล่าเรื่องราวเหล่านั้น ไก่ที่วัดนั้นได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็นคนดี กล้าหาญ และยังเป็นวีรบุรุษกษัตริย์ ผู้ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของชาวสยาม - เรื่องเล่าได้จบลงโดยพระสงฆ์ผู้มีนามว่าซัน-ซัน
เพื่อนร่วมงานของผม อิริน่า มาคาเวเยว่า ที่นั่งใกล้ๆ กัน และได้วาดภาพอย่างรวดเร็ว แต่ละภาพวาดของหล่อนนั้นคือ ภาพวาดขาวดำบนแผ่นกระดาษสีขาว ราวกับกำลังถ่ายถอดเรื่องราวที่ได้ยินเรื่องนี้ออกมาอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้
ที่มา : เว็บไซท์ สถานทูตสหพันธรัฐรัสเซีย ประจำราชอาณาจักรไทย